ท้องฟ้าสดใสหลังฝนซา (OVERWEIGHT)
(19/01/2018 - 10:00)
  • คาดว่าอัตราค่าระวางจะฟื้นตัวในปี 2018F เนื่องจากอุปสงค์โตแซงหน้าอุปทาน ในขณะที่ยอดคำสั่งต่อเรือต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2003         
  • มีปัจจัยกระตุ้นหลายตัวที่จะช่วยหนุนอัตราค่าระวาง – ทั้งนโยบายคุมเข้มสินเชื่อของธนาคาร, การปิดอู่ต่อเรือ, เกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของทั้งโลกที่เพิ่มขึ้น
  • ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มเรือแห้งเทกองที่ OVERWEIGHT จากการที่ BDI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ และแนะนำให้ซื้อ PSL (หุ้นที่ทำธุรกิจเดินเรือล้วนๆ) และ TTA (ราคาหุ้นมี discount สู)

 

คาดว่าอัตราค่าระวางเรือแห้งเทกองจะขยับเพิ่มขึ้นในปี 2018 สภาวะตลาดเรือแห้งเทกองดีขึ้นในปี 2017 โดย BDI เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 70% yoy เป็น 1,145 จุดโดยปริมาณการค้าสินค้าแห้งเทกองเร่งตัวขึ้นเป็น 3.8% yoy ในปี 2017F จาก 1.2% ในปี 2016 และแซงหน้าอัตราการเติบโตของ capacity กองเรือที่ 3.4% yoy ในปี 2017F สำหรับในปี 2018 เรามองว่าสภาวะตลาดจะเอื้อต่อผู้ประกอบการเรือเทกอง เพราะคาดว่าขนาดของกองเรือแห้งเทกองจะเติบโตในอัตราที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1999 ที่ 1% ในขณะที่คาดว่าอุปสงค์จะโตถึง 4% ในปี 2018F จากการที่อัตราการเติบโตของ GDP โลกเร่งตัวขึ้นเป็น 3.7% ในปี  2018F จาก 3.6% เมื่อปีที่แล้ว, ปริมาณการขนส่งแร่เหล็กเกรดสูงทางเรือของจีน, และการที่จีนและอินเดียนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้น เราประเมินว่าขนาดของกองเรือโลกจะไม่ขยายตัวไปอีกอย่างน้อยสองปี (ระยะเวลาเฉลี่ยในการต่อเรือใหม่) เนื่องจากยอดคำสั่งต่อเรือใหม่ในโลกในช่วง 4Q17-202 คิดเป็นสัดส่วนแค่ 8% ของขนาดกองเรือรวม ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ super cycle ในช่วงปี 2003-2007  

 

มีปัจจัยกระตุ้นในระยะกลางหลายตัว ภาวะอุปทานส่วนเกินที่รุนแรงฉุดให้อัตราค่าระวางลงมาอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ใน 1Q16 และทำให้ผู้ประกอบการเรือแห้งเทกองหลายรายต้องล้มละลายไป ธนาคารต่างๆ เข้มงวดขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อโครงการใหม่ และบีบให้ผู้กู้ในธุรกิจนี้เพิ่มทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง และใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินงาน Clarkson รายงานว่าอู่ต่อเรือในโลกครึ่งหนึ่งปิดตัวลงไปนับตั้งแต่ปี 2009 เนื่องจากอัตราค่าระวางต่ำ ซึ่งจะทำให้อุปทานลดลงในปีต่อๆ ไป นอกจากนี้ เกณฑ์ Ballast Water Management ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยาน 2019 และ clean oil convention ซึ่งจะมีผลในปี 2020 ก็จะทำให้ต้องมีการลงทุนถึง 20%-50% ของมูลค่าทรัพย์สิน ซึ่งจะทำให้เรือที่อายุมากต้องถูกทำลายเป็นเศษเหล็ก ยิ่งไปกว่านั้น ความริเริ่ม  “One Belt One Road” ของจีน และโครงการโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า US$1 ล้านล้านของประธานาธิบดี Trump ก็จะช่วยหนุนธุรกิจเรือแห้งเทกองอย่างมีนัยสำคัญ

 

ให้น้ำหนักกลุ่มเดินเรือที่ Overweight โดยเลือก PSL และ TTA เป็นหุ้น turnaround ที่ดีที่สุดในกลุ่ม ผู้ประกอบการเรือแห้งเทกองจะได้อานิสงส์จากจากการที่อัตราค่าระวางพลิกมาเป็นขาขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะทำให้กำไรฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง เราคาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะ outperform ตลาดตั้งแต่ 2Q18 เป็นต้นไป จากการที่ BDI เพิ่มขึ้นเพราะการนำเข้าสินแร่เหล็กจำนวนมากของจีน เรามองว่า PSL เป็นหุ้นเดินเรือล้วนๆ ที่มีอายุเฉลี่ยของเรือในกองเรือต่ำกว่าหกปี ในขณะที่หุ้น TTA ก็มี discount โดยซื้อขายอยู่ที่ P/BV แค่ 0.8x แม้ว่า กำไรในปี FY18F จะโตถึง 66% ความเสี่ยงหลักของหุ้นกลุ่มนี้คือการที่อุปสงค์ของจีนโตต่ำกว่าคาด, scrapping rate ลดลง, และยอดคำสั่งต่อเรือใหม่เพิ่มขึ้นอย่างมาก