October 16, 2019
(16/10/2019 - 08:35)

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ดีดตัวขึ้น +1.01 จุด (+0.06%) ปิดที่ระดับ 1,627 จุด ด้วย Volume 5.1 หมื่นล้านบาท ตอบรับผลการเจรจาการค้าด้านบวกหลังสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงการค้าบางส่วน โดยสหรัฐจะระงับการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในวันที่ 15 ต.ค.นี้ ส่วนจีนจะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐมูลค่าราว 4-5 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นแรงซื้อในกลุ่ม FIN ICT และโรงไฟฟ้า สำหรับนักลงทุนต่างชาติเป็นขายสุทธิ 831 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,914 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX จำนวน 337 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง-บวกคาด SET ปรับตัวขึ้นทดสอบ 1,630 – 1,635 จุดก่อนจะสลับอ่อนตัว จากปัจจัยบวกสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันบางส่วน รวมถึงความคาดหวังอังกฤษและ EU จะบรรลุข้อตกลง Brexit ที่ยอมรับร่วมกันได้ในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้ราคาทองคำ และ VIX index ปรับตัวลง ซึ่งหนุนต่อบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตามคาดว่าดัชนีจะมีสลับอ่อนตัวจากความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัวหลัง IMF ลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงต่ำสุดในรอบ 10 ปีจาก 3.2% เป็น 3% และปีหน้าเป็น 3.4% ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงจากความกังวลด้าน Demand การใช้น้ำมันซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงานและภาวะตลาด

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดว่างบ 3Q19 จะเติบโต GPSC BGRIM EA ADVANC DTAC BCH CHG EPG PRM JMT
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, BGRIM, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • DTAC (ปิด 59.25 ซื้อ/เป้า 68) เก็งกำไรก่อนประกาศงบ 3Q19 เย็นนี้ เบื้องต้นคาดมีกำไรสุทธิประมาณ 1.7 พันล้านบาทพลิกจากขาดทุนสุทธิ 922 ล้านบาท ใน 3Q18 จากการแข่งขันที่ลดลง ควบคลุมต้นทุนได้ดีขึ้น ขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) กลับมาฟื้นตัว
  • JMART (ปิด 9.3 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 11 บาท) คาดผลกำไรเติบโตต่อเนื่องจากธุรกิจในกลุ่มบริษัทลูกเดินหน้าสร้างผลกำไร นำโดย JMT SINGER และ J -asset ขณะเดียวกันธุรกิจมือถือของ JMART ยังได้ Sentiment จากข่าว I Phone 11 จะเริ่มวางขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 18 ต.ค.นี้

บทวิเคราะห์วันนี้

ERW (ปิด 5.7 ซื้อ /เป้า 7.2)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) ดาวโจนส์บวก 237 จุด แต่เป็นปัจจัยเฉพาะตัว จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นแข็งแกร่งใน 3Q19 : ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นแรงกว่า 237 จุด หลังจากบริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการ 3Q19 เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะหุ้นในภาคการเงินการธนาคาร นำโดย เจพีมอร์แกน เชส ธนาคารใหญ่ที่สุดของสหรัฐ(แบ่งตามขนาดสินทรัพย์) มีกำไรต่อหุ้นที่ 2.68 ดอลลาร์ต่อหุ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.45 ดอลลาร์ต่อหุ้น, ซิตี้กรุ๊ปมีกำไรที่ 1.97 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.95 ดอลลาร์/หุ้น เช่นเดียวกับ แบล็คร็อค ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดใของโลก ก็มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเช่นกันโดยมีกำไรต่อหุ้นใน 3Q19 ที่ 7.15 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.96 ดอลลาร์/หุ้น
  • (+) Brexit เหมือนจะมีข่าวดี  หลังมีการคาดการณ์ว่าอังกฤษและ EU จะบรรลุข้อตกลงกันได้ในสัปดาห์นี้ : นาย มิเชล บาร์นิเยร์ หัวหน้าผู้แทนการเจรจา Brexit ของ EU แสดงความเชื่อมั่นว่า  อังกฤษ และ EU จะสามารถบรรลุข้อตกลง Brexit ได้ในสัปดาห์นี้ หลังการเจรจาในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นไปอย่างราบรื่น เบื้องต้น นาย มิเชล บาร์นิเยร์  คาดว่าหากข้อตกลง Brexit ได้รับความเห็นชอบจากคณะผู้เจรจาทั้ง 2 ฝ่ายในสัปดาห์นี้ ก็จะมีการลงนามอย่างเป็นทางการจากผู้นำ EU ในระหว่างการประชุมสุดยอดผุ้นำ (EU Summit) ที่กรุงบรัสเซลส์ในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์นี้ โดยผลที่จะเกิดขึ้นคือ Brexit แบบมีดีล หรือ ขยายเส้นตาย Brexit ออกไปจาก 31 ต.ค. เป็น สิ้นปีนี้แทน
  • (-) IMF ลดคาดการณ์ World GDP ปีนี้เป็น 3% นับเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงิน : วานนี้ IMF ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World economic outlook) โดยปรับลดคาดการณ์ World GDP ของปีนี้และปีหน้าเหลือขยายตัว 3% และ 3.4% จากเดิม 3.2% และ 3.5% ตามลำดับ จากการลดคาดการณ์ GDP ทุกกลุ่มประเทศเนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้า, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ โดย IMF ลดคาดการณ์ GDP ของสหรัฐในปีนี้เป็น 2.4% ชะลอตัวจากปีที่ผ่านมาที่ขยายตัว 2.9% ขณะที่ประเทศเกิดใหม่คาดว่าเศรษฐกิจะขยายตัวเพียง 3.9% ในปีนี้ชะลอตัวจาก 4.5% ในปีที่ผ่านมา