Money Wizard - September 24, 2018
(24/09/2018 - 08:50)

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ : SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้น +4.01 จุด (+0.23%) ปิดที่ 1,756 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 78,593 ล้านบาท ตอบรับ sentiment เชิงบวกตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง ประกอบกับคลายความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตามมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นตามสัญญาณเทคนิคกดให้ดัชนีปิดบวกเล็กน้อย ทั้งนี้นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 653 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 597 ล้านบาท และ Net Short TFEX 4,419 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 16,942 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คาดการณ์ SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,750 – 1,765 จุด  เนื่องจากมีปัจจัยบวก/ลบคละเคล้า โดยดัชนีมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวระดับสูงหลังการประชุม JMMC กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันทั้งในและนอกโอเปกรวมถึงรัสเซียคงปริมาณผลิตน้ำมันต่อไป ประกอบกับกรอบการเลือกตั้งภายในประเทศที่มีความชัดเจนในช่วงเดือนก.พ. – พ.ค. 2562 อย่างไรก็ตามปัจจัยลบจากจีนยกเลิกแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐในสัปดาห์นี้ เนื่องจากสหรัฐเดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนครั้งใหม่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งมีผลวันนี้ 24 ก.ย. (ส่วนจีนตอบโต้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐที่ 5-10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลล่าร์) นอกจากนี้ความกังวลการประชุม FOMC ในวันที่ 25 -26 ก.ย.ที่คาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 2.25%  นั้นจะกดดันให้ Fund Flow ชะลอตัวซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อภาวะตลาด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

  • กลุ่มพลังงาน (PTT, PTTGC, TOP, PTTEP) ราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูง รวมถึงกระทรวงพลังงานเปิดยื่นเข้าประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณในวันที่ 25 ก.ย.
  • Domestic play รับผลบวกจากการเลือกตั้ง รับเหมา (STEC, SEAFCO) นิคมฯ (AMATA) กลุ่มค้าปลีกที่มีฐานลูกค้าต่างจังหวัด (ROBINS, CPALL, DCC, TK)
  • กลุ่มธนาคาร เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น (BBL, SCB, KKP, TMB)
  • กลุ่ม defensive stock เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BCH, CHG) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, CKP, EA)

หุ้นแนะนำวันนี้ : SCP (ปิด 9.05 ซื้อเก็งกำไร) ราคายัง under value เมื่อเทียบกับ SEAFCO และ PYLON ซึ่งทำธุรกิจใกล้เคียงกัน โดยที่ฐานกำไรสุทธิของ SCP สูงกว่า SEAFCO และ PYLON แต่ PE และ Market cap ต่ำกว่ามาก อีกทั้ง SCP ยังมีปันผลสม่ำเสมอให้ yield ประมาณ 4% ต่อปี, SVI (ปิด 5.5 ซื้อ/เป้า 6.3) ราคาปรับตัวลงเป็นโอกาสทยอยซื้อ คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตั้งแต่ 1Q18 และจะเห็นการเติบโตต่อเนื่องอีกใน 3Q18 และ 4Q18 จากยอดขายและมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น, MTC (ปิด 43.5 ซื้อ/เป้า 50) ผลกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง ประสิทธิภาพการดำเนินงานต่อสาขายังเหนือกว่าคู่แข่ง แผนการขยายสาขาเพิ่มปีละ 600 สาขายังเดินหน้าตามเป้าคาดหนุนกำไรสุทธิในอีก 2 ปีข้างหน้าเติบโตเฉลี่ย 30-40% ต่อปี

Top picks ปีนี้ : ADVANC, ANAN, BEM, BDMS, CHG, CPALL, IVL, MINT, MTC และ QH

KSS report วันนี้ : BEM (ปิด 9.05 ปรับเป็นถือ/เป้า 8.6), SNC (ปิด 14.5 ซื้อ/เป้า 22)

ประเด็นสำคัญวันนี้ :      

(-) Trade war ยังกดดันตลาด วันนี้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐรอบใหม่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ขณะที่จีนยกเลิกแผนเจรจากับสหรัฐ : Trade war ยังเป็นปัญหาที่คอยกดดันตลาด เนื่องจากวันนี้มาตรการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตราภาษีเรียกเก็บ 10% จะเริ่มมีผลบังคับใช้ เช่นเดียวกับมาตรการตอบโต้จากจีนซึ่งประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 5-10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ จะมีผลบังคับใช้ในวันนี้เช่นกัน ประกอบกับมีรายงานว่า จีนประกาศยกเลิกแผนการเจรจาการค้ากับสหรัฐ จากเดิมที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ และคาดว่าจีนจะยังไม่เจรจากับสหรัฐจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในช่วงเดือน พ.ย.

 (+) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ผลประชุมกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบ (OPEC+Non OPEC) มีมติคงปริมาณการผลิตน้ำมันดิบตามเดิม : การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบ (OPEC+Non OPEC) มีมติเห็นชอบให้คงปริมาณการผลิตไว้ตามเดิมและ ปฏิเสธข้อเรียกร้องของโดนัล ทรัมป์ที่ต้องการให้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อกดดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวลง โดยกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบให้เหตุผลว่า เป้าหมายสูงสุดของโอเปกไม่ใช่เพิ่มราคาหรือกดราคาน้ำมัน แต่เพื่อให้ตลาดอยู่ในภาวะสมดุลตามเป้าหมาย และเชื่อว่าที่ระดับราคา 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ถือเป็นระดับราคาที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งกลุ่มผู้ผลิตและกลุ่มผู้บริโภค

(+/-) สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมเฟด คาดปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25% มองมีผลต่อ Fund Flow ไหลออกไม่มากเนื่องจากตลาดรับรู้ไปแล้ว : Bloomberg consensus คาดการประชุมเฟดในวันที่ 25 ก.ย.มีโอกาสสูงถึง 97.9% ที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 2.25% อย่างไรก็ตามเรามองว่าประเด็นนี้ตลาดรับรู้ไปแล้วและคาดว่าจะไม่มีผลต่อ Fund Flow ไหลออกเหมือนในช่วงก่อนหน้า ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามอยู่ที่ถ้อยแถลงหลังการประชุมมากกว่าว่าเฟดจะส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้าอย่างไร (Bloomberg คาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในเดือนธ.ค.อยู่ที่ 73.2%)