• ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจจากงบ 2Q22

กำไรสุทธิใน 2Q อยู่ที่ 9.9 พันลบ. เพิ่มขึ้น 12% qoq แต่ลดลง 42% yoy

กำไรทั้งสามหน่วยธุรกิจหลักลดลง yoy (CBM, เคมีภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์) แต่มีกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน 937 ลบ. และรายได้จากเงินปันผล (3.1 พันลบ.) โดยในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ spread ของ PE เพิ่มขึ้นเป็น US$468/t ในขณะที่ spread ของ PP ลดลงเหลือ US$445/t เนื่องจากมีอุปทานใหม่เพิ่มเข้ามา ส่วน spread ของ PVC เพิ่มขึ้นเป็น US$530/t เนื่องจากกิจกรรมการก่อสร้างฟื้นตัวขึ้น โดยปริมาณยอดขาย PE และ PP ลดลงเหลือ 426k ตัน SCC บันทึกผลขาดทุนจากสต็อก 1.0 พันล้านบาทใน 2Q จากที่บันทึกกำไรจากสต็อก 1.1 พันลบ.ใน 1Q ในขณะที่อุปสงค์ปูนซีเมนต์ลดลง 7% yoy ตามภาวะเศรษฐกิจ อุปสงค์จากภาครัฐลดลง 6% (40% ของอุปสงค์), จากที่อยู่อาศัยลดลง 7% และจากการพาณิชย์ ลดลง 6% (60% ของอุปสงค์) รายได้ Equity income ลดลง 2% qoq (-41% yoy) เหลือ 3.3 พันลบ. เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทเคมีภัณฑ์อ่อนแอ ขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ลดลง yoy จากอัตราค่าระวาง และต้นทุนพลังงานแพงขึ้น กำไรสุทธิ 2Q ที่ 9.9 พันล้านบาท (EPS 8.30 บาท) เพิ่มขึ้น 12% qoq แต่ลดลง 42% yoy ทั้งนี้ สัดส่วนกำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ปูนซีเมนต์ และบรรจุภัณฑ์อยู่ที่ 37%, 17% และ 19% ของกำไรสุทธิตามลำดับ (สัดส่วนกำไรจากธุรกิจอื่น ๆ อยู่ที่ 43%)

• แนวโน้ม

กำลังการผลิต ethylene (และ PE) ใหม่เพิ่มขึ้น 6% ในปีนี้ และอีก 4% ในปี 2023 ในขณะที่อุปสงค์โตเฉลี่ยปีละ 4% เราคิดว่ากำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นมากดราคา PE ใน 2H22 และปี 2023 ส่วนต้นทุนเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นยังคงกดดันธุรกิจ CBM คาดอุปสงค์ปูนซีเมนต์จะฟื้นตัวขึ้นใน 2H22 เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาอยู่ระดับปกติหลัง Covid-19 ผ่านไป ทั้งนี้ SCC เพิ่มราคาขายปูนซีเมนต์ใน 2Q เป็น 1,850-1,900 บาท/ตัน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น

• คงคำแนะนำถือ และราคาเป้าหมายที่ 380 บาท บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 6 บาท/หุ้น กำหนดขึ้น XD วันที่ 10 สิงหาคม

LSP มีกำหนดเสร็จกลางปี 2023 คาดทำให้บริษัทเร่งการผลิตขึ้นใน 2H23 และจะเห็นส่วนแบ่งกำไรในปี 2024 ทั้งนี้ เราประเมินราคาเป้าหมาย DCF ที่ 380 บาท คิดเป็น PE ปี FY22F ที่ 13.3x  และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 3.8%