เราปรับประมาณการกำไรปี FY20 ลงหลัง BBL รายงานค่าใช้จ่ายในไตรมาสที่ 3 สูงกว่าคาดจากค่าใช้จ่ายในการควบรวมสาขา Permata ในอินโดนีเซีย แม้ราคาหุ้นจะมี upside valuation ที่น่าสนใจเราแนะนำนักลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเนื่องจากข้อมูลทางการเงินยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง

ปรับลดกำไรจากค่าใช้จ่ายในการรวมสาขา

ตัวเลขชี้วัดทางการเงินส่วนใหญ่ของ BBL ใน 3Q20 ออกมาใกล้เคียงและสอดคล้องกับเป้าหมายธนาคารและประมาณการของเรายกเว้นว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานหลังจากธนาคารได้บันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการควบรวมสาขาของธนาคาร Permata ในอินโดนิเซียราว 4 พันลบ. ทำให้สัดส่วนต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึนแตะระดับ 66% ใน 3Q20 เราจึงปรับประมาณการกำไรปี FY20 ลง 18% จาก 25 พันลบ. สู่ระดับ 20.5 พันลบ. เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายดังกล่าว แม้เราจะมองว่าค่าใช้จ่ายในการควบรวมสาขาจะไม่เกิดขึนแค่ครั้งเดียว แต่เรามองว่าสัดส่วนใหญ่ของค่าใช้จ่ายนี้ได้รับรู้ไปแล้ว

การตั้งสำรองอาจจะเพิ่มสูงกว่าระดับ 3หมื่นลบ.ในปีนี้

ด้านฝ่ายบริหารของธนาคารคาดว่า BBL อาจตั้งสำรองสูงมากกว่า 3 หมื่นลบ.ในปีนี้ซึ่งมากกว่าเป้าหมายเดิมที่ 2.8 หมื่นลบ. หลังจากการตั้งสำรองสำหรับการขาดทุนทางเครดิตเพิ่มขึ้นเกือบแตะระดับ 2.4 หมื่นลบ. ใน 9M20 อีกทั้งมาตรการมาตรการพักชำระหนี้จะหมดอายุอีกรอบช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 2020 อย่างไรก็ตามเรามองว่าการเพิ่มขึ้นของ NPLs จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการตั้งสำรองจะไม่เพิ่มขึ้นมากเหมือนอย่างใน 2Q20 ดังนั้นเราจึงคาดว่ากำไรในไตรมาสที่ 4 แม้จะยังลดลงมาก yoy ใน 4Q20 แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง qoq จากการไม่มีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่การจากควบรวมสาขา Permata ในอินโดนิเซียเหมือนไตรมาสก่อนหน้า

Valuation ที่ถูกท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีนัก

ราคาหุ้นในปัจจุบันอาจมีอัพไซด์ของ valuation และแนวโน้มของกำไรเริ่มที่จะปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามแนวโน้มนี้ยังคงเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูงท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้า ข้อมูลทางการเงินยังคงบ่งชี้พื้นฐานที่อ่อนแอจากสัดส่วน NPL ที่สูง รวมทั้งการตั้งสำรองและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น เราคงคำแนะนำ ถือ สำหรับ BBL ที่ราคาเป้าหมาย 146บาท โดยแนะนำนักลงทุนให้ติดตามข้อมูล NPL หลังจากมาตรการพักชำระหนี้หมดอายุใน 4Q20