December 12, 2018
(12/12/2018 - 08:50)

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ร่วง 16.37 จุด (-0.99%) ปิดที่ 1,634 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.29 หมื่นล้านบาท เนื่องจากตลาดยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ นักลงทุนยังกังวลข้อพิพาทการค้าจีนกับสหรัฐ ด้าน Fund Flow ต่างชาติยังไหลออกกดดันหุ้น Big Cap นำลงโดย CPALL, PTTEP และ AOT โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 อีก 1,435 ล้านบาท และ Net Short TFEX ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แต่แรงขายมากขึ้นเป็น 15,493 สัญญา อีกทั้งขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,950 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คาด SET Index ฟื้นตัวทดสอบแนวต้าน 1,640-1,650 จุด ตอบรับเจรจาจีนและสหรัฐมีสัญญาณบวก คือ 1) ทั้ง 2 ประเทศยังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเพื่อเจรจายุติสงครามการค้าแม้มีประเด็นลบจากข่าวแคนนาดาจับกุม CFO หัวเหว่ย (ตลาดกลัวจีนล้มกระดานไม่เจรจา), 2) จีนมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงและเริ่มปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสหรัฐ จากข่าวจีนเตรียมลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐเป็น 15% จาก 40% และ 3) แคนนายอมให้ประกันตัว CFO หัวเหว่ยแล้ว นอกจากนี้ยังมีข่าวบวกในประเทศหลังจากที่ คสช.ประกาศปลดล็อกให้พรรคการเมืองให้เริ่มทำกิจกรรมทางการเมืองได้มากขึ้น อาทิ หาเสียงออนไลน์ (2 ม.ค.หาเสียงเต็มรูปแบบ) ส่วนข่าว โดนัล ทรัมป์ ขู่ปิดหน่วยงานบางส่วนของสหรัฐ(US Shutdown) เพื่อแลกกับงบประมาณสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก เรามองเป็นปัจจัยลบชั่วคราว และเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจึงเชื่อว่าในท้ายที่สุดจะสามารถเจรจาต่อรองกันได้ 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy เน้น Domestic play

  • กลุ่มค้าปลีก (HMPRO, ROBINS, CPALL) ยอดใช้จ่ายเพิ่มในช่วงปลายปี
  • กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD) คาดงบ 4Q18 เติบโตต่อเนื่องจากการขยายสินเชื่อและสาขาเพิ่มขึ้น
  • กลุ่มรับเหมา (STEC, SEAFCO) นิคมฯ (AMATA) รับผลบวกกรอบการเลือกตั้งชัดเจนขึ้น

หุ้นแนะนำวันนี้ : CK (ปิด 26.5 ซื้อ/เป้า 31) เก็งกำไรข่าว รฟท.จะเปิดซองประมูลงานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ โดย CK มีโอกาสชนะการประมูลสูงเนื่องจากมีกลุ่มพันธมิตรที่แข็งแกร่ง (CP holding +CK + BEM + China railway+ITD), CPALL(ปิด 70.25 ซื้อ/เป้า 80) ตัวแทนกลุ่มค้าปลีก โดยสถิติเลือกตั้ง 5 ครั้งหลังสุดของไทยกลุ่มค้าปลีกเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดีสุดทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง, SAWAD (ปิด 50 ซื้อ/เป้า 55) คาดงบ 4Q18 ดีต่อเนื่องจากแรงหนุนของยอดสินเชื่อที่ยังขยายตัว และ NPLs ลดลง ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นมอง SAWAD ได้รับผลกระทบน้อยสุดเพราะมีเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากบัญชีเงินฝากของ BFIT ทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่น นอกจากนี้ในวันที่ 14 ธ.ค.มีลุ้นถูกนำเข้าคำนวณใน SET50 รอบใหม่

Top picks ปี 2019 : BGRIM, CPALL, EA, EPG, JMT และ ROBINS

KSS report วันนี้ :  MAJOR (ปิด 22.8 ซื้อ/เป้าใหม่ 28 จาก 31), RATCH (ปิด 49.75 ซื้อ/เป้า 62)

ประเด็นสำคัญวันนี้ :         

  • (+) เจรจาการค้าจีน – สหรัฐ เริ่มเห็นสัญญาณบวก หลังจากตัวแทนทั้ง 2 ประเทศเดินหน้าเจรจาต่อ และล่าสุดแคนนาดายอมให้ประกันตัว CFO หัวเหว่ย เดิมตลาดวิตกกังวลว่าจีนจะตอบโต้สหรัฐด้วยการยุติการเจรจาหลังจากมีข่าวแคนนาดาจับกุม CFO หัวเหว่ย แต่เมื่อวานที่ผ่านมาตลาดเริ่มคลายกังวลจากปัจจัยดังกล่าวหลังจากมีรายงานว่าตัวแทนการเจรจาของทั้ง 2 ประเทศยังพูดคุยและเดินหน้าเพื่อให้การเจรจายังดำเนินต่อ และมีแนวโน้มว่าจีนจะปฏิบัตตามข้อเรียกร้องของสหรัฐหลังมีรายงานว่าจีนพร้อมลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐเป็น 15% จาก 40% และล่าสุดยังมีข่าวดีใหม่เมื่อแคนนายอมให้ประกันตัว CFO หัวเหว่ยแล้ว
  • (+) ตลาดน้ำมันได้ข่าวลิเบียหยุดการผลิตมาช่วยหนุน บวกกับข่าว OPEC ลดกำลังการผลิตน่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวได้ : ราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 51.65$/bbl เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ (+1.3%) ตอบรับข่าว กลุ่มผู้ประท้วงและสมาชิกของกลุ่มปิโตรเลียม ฟาซิลิตีส์ การ์ด เข้ายึดบ่อน้ำมัน เอล ชารารา ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของลิเบีย ส่งผลให้บ่อน้ำมัน ชารารา และบ่อน้ำมัน เอลฟีล ซึ่งใช้แหล่งพลังงานร่วมกันจะต้องหยุดผลิตเป็นการชั่วคราว โดยบ่อน้ำมัน ซารารา มีกำลังการผลิตต่อวันที่ 315,000 บาร์เรล และบ่อน้ำมันเอลฟีลมีกำลังการผลิตต่อวันอยู่ที่ 73,000 บาร์เรล ซึ่งเทียบเท่ากับการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม Non Opec ในการประชุมครั้งที่ผ่านมาที่ 400,000 บาร์เรลต่อวัน
  • (-) US Shutdown เป็นลบแค่ช่วงสั้น ต้นปีเกิดมาแล้ว 2 ครั้ง คาดสุดท้ายเจรจาต่อรองกันได้: US Shutdown ภาค 3 ถือเป็นปัจจัยลบเฉพาะตัวของสหรัฐที่กดดันให้ดัชนีดาวโจนส์กลับมาปิดลบในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา มองเป็นคำขู่ที่โดนัล ทรัมป์ ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อแลกกับงบประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับสร้างกำแพงกั้นระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโก โดยประเด็นนี้เราไม่ได้วิตกกังวลมากนักเนื่องจาก US Shutdown เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งในปีนี้ คือเดือน ม.ค.ปิดหน่วยงานเป็นเวลา 3 วัน และ เดือน ก.พ.ปิดหน่วยงานไป 6 ชั่วโมง ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นในขณะนั้นไม่ได้ตอบรับในทางลบแต่อย่างใด