Money Wizard - July 12 2018
(12/07/2018 - 08:50)

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ลดลง 7 จุด (-0.4%) ปิดที่ 1,637 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 44,493 ล้านบาท นักลงทุนกลับมากังวลปัญหา Trade war หลังสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีจากสินค้าจีนรอบใหม่มูลค่ารวม 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 อีก 767 ล้านบาท แต่ Net long TFEX 401 สัญญา และพลิกเป็นซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,376 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คงมุมมองเป็นลบ คาดดัชนีจะยังถูกกดดันจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งหลายฝ่ายรอดูท่าทีของจีนว่าจะออกมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐหรือไม่ หุ้นกลุ่มพลังงานจะถูกกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงแรงหลังจากมีข่าวลิเบียกลับมาส่งออกน้ำมันดิบตามปกติ และซาอุฯปรับเพิ่มการผลิตในเดือนที่ผ่านมา อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติจะยังไหลออกจากค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่า อย่างไรก็ตามคาดการลดลงจะไม่รุนแรงหลังจากที่ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าเริ่มกลับมาฟื้นตัว เบื้องต้นเราประเมินดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,625-1,640 จุด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

  • ทยอยสะสมหุ้นกลุ่มธนาคาร (BBL, TMB และ KKP) ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในครึ่งปีหลัง
  • BANPU LANNA ราคาถ่านหินปรับขึ้นทำ New High ในรอบ 6 ปีครึ่งที่ระดับ 117.9 US/Ton
  • กลุ่มปันผลครึ่งปีเด่น ADVANC, INTUCH, KKP, QH, LH และ SPALI

หุ้นแนะนำวันนี้ : KKP (ปิด 71.5 ซื้อ/เป้า 85) คาดผลกำไร 2Q18 เด่นสุดของกลุ่มธนาคาร เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ 2Q18 ประมาณ 1,437 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 21%yoy นอกจากนี้ KKP ยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูงสุดของกลุ่ม (ประมาณ 7-7.5%), EPG (ปิด 7.6 ซื้อ/เป้า 9) ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และเป็นหุ้นที่ได้ผลบวกจากราคาน้ำมันที่ลดลง และค่าเงินบาทอ่อนค่า, KCE (ปิด 40.75 ซื้อ/เป้า 46) ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า หนุนรายได้ในรูปค่าเงินบาทเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาทองแดงซึ่งเป็นต้นทุนหลักปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง

Top picks ปีนี้ : ADVANC, ANAN, BEM, BDMS, CHG, CPALL, IVL, MINT, MTC และ QH

KSS report วันนี้ : BIG (ปิด 2.14 ซื้อ/เป้าใหม่ 2.6 จาก 3.6), CPN (ปิด 73.25 ซื้อ/เป้า 88), Thailand Strategy

ประเด็นสำคัญวันนี้ :                                           

  • (-) กังวลสงครามการค้า จีน – อเมริกา ครั้งใหม่กดดันดัชนีดาวโจนส์ร่วงแรงกว่า 219 จุด : ดัชนีดาวโจนส์ร่วงแรงจากแรงขายหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม เนื่องจากกังวลจะได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าหลังจากสหรัฐประกาศ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือน ก.ย. ปีนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนกังวลว่าปัญหาดังกล่าวจะทวีความรุนแรงขึ้น หลังรัฐบาลจีนออกมาประท้วงสหรัฐและเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน นอกจากนี้ดัชนียังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบร่วงแรงกว่า 5%
  • (-) ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงแรงกว่า 3.73 $/bbl กังวลสงครามการค้าและมีข่าวลิเบียกลับมาส่งออกน้ำมัน และ ซาอุฯปรับเพิ่มการผลิต : วานนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงแรงกว่า 3.73 ดอลลาร์ หรือ 5% ปิดที่ 70.38 ดอลลาร์/บาร์เรล มากที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.ปีที่ผ่านมา ขณะที่น้ำมันดิบ BRENT ลดลง 5.46 ดอลลาร์ หรือ 6.9% ปิดที่ 73.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากบรรษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย (NOC) เปิดเผยว่า การผลิตและการส่งออกน้ำมันของลิเบียจะกลับสู่ระดับปกติอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลิเบียปิดสถานีส่งออกน้ำมันส่งผลให้การผลิตของลิเบียลดลงสู่ระดับ 527,000 บาร์เรล/วัน จากจุดสูงสุดที่ 1.28 ล้านบาร์เรล ขณะที่ซาอุฯ เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันราว 500,000 บาร์เรล/วัน ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2016 ที่ระดับ 10.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
  • (+) ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5  เดือน มองกลุ่มธนารคารน่าสนใจมากสุด : สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 10.55% สู่ระดับ 101.33 แต่ยังอยู่ในกรอบ 80-120 ซึ่งเป็นเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) โดยนักลงทุนเชื่อมั่นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้นจากตัวเลขส่งออกที่เติบโตต่อเนื่อง และตอบรับแบงก์ชาติปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ในปีนี้เป็นขยายตัว 4.4% จากเดิม 4.1% และยังมั่นใจกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะยังเติบโตได้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ยังเป็นกังวลคือ Trade war และ ปัญหา Fund Flow ไหลออก มองหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากที่สุด ขณะที่หุ้นกลุ่มเหล็กเป็นกลุ่มที่ยังไม่น่าลงทุน