Money Wizard - July 6, 2018
(06/07/2018 - 08:45)

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index วานนี้ -27.78 จุด (-1.71%) ปิดที่ 1,601 จุด มูลค่าซื้อขาย 55,699 ล้านบาท จากแรงขายลดความเสี่ยงก่อน deadline ที่สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้า 25% ต่อสินค้าจีนล็อตแรก 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่เป็นแรงขายในกลุ่ม Big cap นำโดย Energy Petro Fin ทั้งนี้ Foreign ขายสุทธิ 1,345 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 260 ล้านบาท นอกจากนี้ยัง Net Short TFEX 2,737 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : มีมุมมองเป็นกลาง คาดดัชนีแกว่งตัว 1,590 - 1,610 จุด จาก sentiment เชิงบวกในรายงานการประชุมเฟดที่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐและจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงปธน.ทรัมป์ส่งสัญญาณยุติการเก็บภาษีรถยนต์ในอัตรา 20% จากยุโรป หากยุโรปปรับลดภาษีต่อรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐ อย่างไรก็ตามแรงกดดันราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงหลังสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล และวันนี้ 6 ก.ค. ปธน.ทรัมป์ยืนยันเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 25% มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจีนจะตอบโต้เก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐเช่นกัน อีกทั้ง Fund flow ต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง ( Net sell 1.89 แสนลบ. YTD.) จะเป็นตัวถ่วงตลาดให้มีความผันผวนได้ง่าย

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

  • กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ (BBL KBANK SCB KTB) ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในครึ่งปีหลัง
  • BANPU ราคาถ่านหินกำลังขึ้นทดสอบ High ในรอบ 6 ปีครึ่งล่าสุด 116.6 US/Ton
  • KCE DELTA HANA CPF GFPT EPG อานิสงส์เงินบาทอ่อนค่าล่าสุด 33.1 Bath/USD
  • PSL TTA อานิสงส์ค่าระวางเรือทำ High ในรอบ 7 เดือนล่าสุด 1,612 จุด
  • กลุ่มปันผลครึ่งปีเด่น ADVANC, INTUCH, KKP, QH, LH และ SPALI

หุ้นแนะนำวันนี้ : KCE (ปิด 39.75 ซื้อ/เป้า 46) ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า หนุนรายได้ในรูปค่าเงินบาทเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาทองแดงซึ่งเป็นต้นทุนหลักปรับตัวลงต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิในครึ่งปีหลัง, IVL (ปิด 53.75 ซื้อ/เป้า 75) คาดกำไรสุทธิ 1Q18 เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 7.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29%qoq และ 155%yoy จากปริมาณขายและสเปรดมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น, BDMS (ปิด 25.25 ซื้อ/เป้า 27.5) ผ่านพ้นช่วงลงทุนมาแล้ว และกำลังจะเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไร ขณะที่ธุรกิจเริ่มเข้าสู่ช่วง High season

Top picks ปีนี้ : ADVANC, ANAN, BEM, BDMS, CHG, CPALL, IVL, MINT, MTC และ QH

KSS report วันนี้ : COL (ปิด 28 ซื้อ/เป้า 35), HTC (ปิด 19.3 ซื้อ/เป้าใหม่ 23 จาก 30), TU (ปิด 14.8 ถือ/เป้าใหม่ 14 จาก 19)

ประเด็นสำคัญวันนี้ :                                           

(+/-) สงครามการค้า ยุโรป-สหรัฐ ดูผ่อนคลาย แต่ จีน-สหรัฐ ยังตึงเครียด : ปัญหา Trade war ระหว่างสหรัฐและยุโรปมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังจากมีกระแสข่าวว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณจะยุติการเรียกเก็บภาษีรถยนต์จากยุโรป หาก EU ลดภาษีนำเข้าให้กับรถยนต์จากอเมริกา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเยอรมนีออกมาสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวและเรียกร้องให้สหภาพยุโรป (EU) ปรับลดภาษีนำเข้ารถยนต์จากสหรัฐเช่นกัน อย่างไรก็ตามปัญหา Trade war ระหว่างสหรัฐและจีนยังตึงเครียด หลังจากล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% วงเงินรวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในวันนี้ ตามกำหนดการที่ได้วางไว้

(-) ราคาน้ำมันดิบร่วงแรงหลังสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ : ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงแรงถึง 1.2 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 72.94 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสหรัฐรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ปรับตัวขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรล และยังถูกกดดันจากข่าว โดนัล ทรัมป์ เรียกร้องให้กลุ่ม โอเปก ปรับลดราคาน้ำมันเพื่อบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันแพงและกล่าวโจมตีว่า โอเปก เป็นตัวการที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันพุ่งสูง ส่วนอีกด้านตลาดกำลังเฝ้าจับตาดูการเคลื่อนไหวของอิหร่านหลังจากมีกระแสข่าวว่าอิหร่านจะปิดช่องแคบเฮอร์มุส เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐจะคว่ำบาตรอิหร่านรอบใหม่ (หากเป็นจริงคาดหนุนราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่องแคบเฮอร์มุสเป็นเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมันของกลุ่มผู้ผลิตในตะวันออกกลางคิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกน้ำมันของโลก)

(+/-) Fed minute ไม่มีอะไรใหม่ แม้จะมีความกังวลกับสงครามการค้า แต่ยังคงจุดยืนปรับขึ้นดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป : เมื่อคืนที่ผ่านมาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุม (Fed minute) เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นกับแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งคาดว่าจะยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้คณะกรรมการส่วนหนึ่งจะกังวลต่อปัญหาสงครามการค้า ซึ่งบรรดาภาคธุรกิจบางส่วนส่งสัญญาณว่า อาจจะชะลอแผนการใช้จ่ายด้านทุน หากได้รับผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้า แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่ยังยืนยันถึงจุดยืนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเราคาดว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง คือ ก.ย.และ ธ.ค.