Money Wizard - April 5, 2018
(05/04/2018 - 08:40)

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index วานนี้ทรุดตัวลงแรง -40.26 จุด ปิดที่ 1,724 จุด มูลค่าการซื้อขาย 9.3 หมื่นล้านบาท จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่รุนแรงมากขึ้นหลังจีนเตรียมเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหรัฐในสินค้ากว่า 106 ชนิด วงเงิน  50,000 ล้านUSD. ประกอบกับแรงขายกลุ่มธนาคาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง ทั้งนี้ Fund Flow ต่างชาติซื้อสุทธิ 204 ล้านบาท , Net Short TFEX 4,153 สัญญา , ขายสุทธิตราสารหนี้ 1,623 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ :  ประเมินว่า SET จะแกว่งตัวในกรอบ 1,715 – 1,740 จุด (โดยหากดัชนีไม่ผ่าน 1,740 จุดควรเน้นการขายปรับพอร์ท) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวล Trade war ระหว่างสหรัฐ-จีนหลังคณะทำงานของปธน.ทรัมป์ต้องการเจรจากับจีนมากกว่าจะประกาศสงครามการค้าซึ่งส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามแรงกดดันจากกลุ่มธนาคารน่าจะยังเป็นตัวถ่วงดัชนีหลังคาดการณ์ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะหดตัวลง รวมถึงรมว.คลังกระตุ้นให้แบงก์พาณิชย์ลดดอกเบี้ยกู้ลงเพื่อช่วยธุรกิจ SME ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะตลาดมีความผันผวนต่อไป

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

  • กลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (BCH BDMS BH)  กลุ่มขนส่ง ( AOT )
  • กลุ่มเครื่องดื่ม ( HTC ) อานิสงส์ราคาน้ำตาลลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีล่าสุด 12.2 cent/pound
  • TVO ราคากากถั่วเหลืองมีแนวโน้มขาขึ้นล่าสุด 382 US/ตัน และคาดกำไรQ1/18 เติบโต QoQ + YoY
  •  กลุ่มปิโตรฯ ( IRPC PTTGC IVL ) คาดกำไร Q1/18 ยังคงเติบโต

หุ้นแนะนำวันนี้ : TVO (ปิด 34.5 ซื้อ /เป้า 38) ได้ Sentiment บวกจากจีนออกมาตรการตอบโต้สหรัฐด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าถั่วเหลืองในอัตรา 25% ส่งผลให้แนวโน้มกากถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นในอนาคตเป็นบวกต่อ TVO โดยตรงจาก Crushing spread ที่เพิ่มขึ้น ด้านผลประกอบการ 1Q18 คาด qoq และ yoy จาก Crusing spread ที่สูงขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีปี 2018 : ธนาคาร, พลังงาน,อาหารและเครื่องดื่ม และ อสังหาริมทรัพย์

Top picks ปีนี้ : ANAN, BANPU, BBL, BCH, IVL, HTC, MINT, PTTGC, SPALI and TMB

KSS report วันนี้ : ROBINS (ปิด 60 ถือ/ เป้า 67 เดิม 70), TVO (ปิด 34.5 ซื้อ/ เป้า 38)

ประเด็นสำคัญวันนี้ :                                          

  • (-) จีนออกมาตรการตอบโต้ทางการค้ากับสหรัฐเป็นชุดที่ 2 โดยมีรายการที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้ารวมกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสินค้าทั้งหมด 106 รายการ 14 หมวดสินค้า อาทิ ถั่วเหลือง, วิสกี้, รถยนต์, เครื่องบิน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และ เคมีภัณฑ์ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% หากเทียบกับมาตรการที่เปิดเผยในครั้งแรกถือว่ารุนแรงและมีผลกระทบในวงกว้างมากกว่า จากมูลค่าสินค้าที่สูงขึ้นและครอบคลุมกลุ่มสินค้ามากขึ้น (มาตรการชุดแรกเน้นแค่กลุ่มสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์) อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังพอมีทางออก เนื่องจากกฏหมายยังไม่มีผลบังคับใช้ โดยจีนจะบังใช้กฏหมายทันทีที่สหรัฐเริ่มประกาศใช้กฏหมาย ขณะที่สหรัฐเปิดช่วงเวลาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดย จะเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนในวันที่ 15 และให้บริษัทในสหรัฐยื่นคัดค้านในวันที่ 22 พ.ค. เท่ากับว่าทั้ง 2 ประเทศยังพอมีเวลาหันหน้าเข้าเจรจากันเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
  • (-) กลุ่มธนาคารจะยังถูกกดดันต่อจาก 2 ปัจจัยลบ คือ กังวลทั้งรายได้ดอกเบี้ยและไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง : 1)รายได้ดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง หลังจาก รมว.คลังเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับกลุ่มลูกค้า SME หากธนาคารต่างๆปรับลดดอกเบี้ยจริงจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยลดลง เบื้องต้นคาด KBANK และ TMB ได้รับผลกระทบมากสุดเพราะมีสัดส่วนลูกค้า SME มากที่สุดในอุตสาหกรรม 2) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด โดยล่าสุด KBANK ปรับลดคาดการณ์รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยของปีนี้เป็นหดตัว 6-8% จากเดิมคาดทรงตัว และมากกว่าที่ตลาดส่วนใหญ่คาดว่าจะหดตัวเพียง 3%ทำให้เป็นไปได้สูงที่จะเห็นแบงก์อื่นๆออกมาทยอยปรับลดคาดการณ์ลงเช่นเดียวกัน และมีโอกาสสูงที่บรรดานักวิเคราะห์จะปรับลดคาดการณ์ EPS ของกลุ่มธนาคารในปีนี้ลงเป็นลบต่อ Sentiment ของกลุ่มธนาคารและ SET index
  • (-) Fund Flow ต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 : วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาค US$269 ล้าน โดยขายมากที่สุดในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ US$ 271 ล้าน ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการ ขณะที่กลุ่ม TIP เริ่มเห็นสัญญาณซื้อแต่ยังเบาบางโดยซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย US$6.5 ล้าน ตามด้วยฟิลิปปินส์ US$1.1 ล้าน แต่อินโดฯยังขายสุทธิ US$6 ล้าน