Money Wizard - April 4, 2018
(04/04/2018 - 08:30)

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้น -17.04 จุด ปิดที่ 1,765 จุด มูลค่าการซื้อขาย 6.2 หมื่นล้านบาท จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ประกอบกับแรงขายกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันทรุดตัวลงแรง ทั้งนี้ Fund Flow ต่างชาติขายสุทธิ 478 ล้านบาท , Net Short TFEX 1,669 สัญญา และซื้อสุทธิตราสารหนี้ 7,189 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ :  ประเมินว่า SET จะอ่อนตัวลงทดสอบแนวรับ 1,760 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ เนื่องจากภาวะการลงทุนขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นอีกทั้งมีการขึ้น XD หุ้น SCC 10.5 บาท และ THCOM 1.36 บาท ซึ่งกระทบต่อดัชนีราว 1.4 จุด นอกจากนี้ความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวยังคงอยู่ซึ่งเป็นตัวถ่วงดัชนี  อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกจาความคืบหน้าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีความชัดเจนมากขึ้นหลังครม.เห็นชอบหลักการร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) รวมถึงแรงซื้อหุ้นรายตัวที่คาดว่างบ Q1/18 เติบโตหลังเข้าสู่ช่วง Preview ซึ่งจะช่วยให้ดัชนีสลับรีบาวด์ในจังหวะอ่อนตัวได้ 

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

  • กลุ่มเครื่องดื่ม ( HTC ) อานิสงส์ราคาน้ำตาลลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีล่าสุด 12.5 cent/pound
  • TVO ราคากากถั่วเหลืองมีแนวโน้มขาขึ้นล่าสุด 381 US/ตัน และคาดกำไรQ1/18 เติบโต QoQ + YoY
  • กลุ่ม Domestic Play เช่น กลุ่มโรงพยาบาล (BCH BDMS BH)  กลุ่มขนส่ง (AOT)
  • กลุ่มปิโตรฯ ( IRPC PTTGC IVL ) คาดกำไร Q1/18 ยังคงเติบโต

หุ้นแนะนำวันนี้ : SNC (ปิด 15.7 ซื้อ /เป้า 22) ผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดของธุรกิจไปแล้ว มองการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ การขาย และ ลดขนาดกิจการที่ไม่ทำกำไรจะทำให้ภาพรวมของบริษัทกลับมาฟื้นตัวคาดเริ่มเห็นผลบวกตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ เบื้องต้นประเมินกำไรสุทธิ 1Q18 ประมาณ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%qoq และ 54% yoy

ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีปี 2018 : ธนาคาร, พลังงาน, อาหารและเครื่องดื่ม และ อสังหาริมทรัพย์

Top picks ปีนี้ : ANAN, BANPU, BBL, BCH, IVL, HTC, MINT, PTTGC, SPALI and TMB

KSS report วันนี้ : DTAC (ปิด 45 ถือ/ เป้าใหม่ 50 เดิม 57), TCAP (ปิด 52.5 ถือ/ เป้า 60)

ประเด็นสำคัญวันนี้ :                                          

  • (+) ดัชนีดาวโจนส์และราคาน้ำมันดิบกลับมาฟื้นตัวจากแรงซื้อเก็งกำไรหลังจากที่ดัชนีและราคาลดลงแรงในช่วงก่อนหน้า : ดัชนีดาวโจนส์กลับมาเพิ่มขึ้น 389 จุด (+1.65%) ปิดที่ 24,033 จุด เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มค้าปลีก นอกจากนี้นักลงทุนยังเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรงบ 1Q18 ที่จะเริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานออกมาในช่วงสัปดาห์หน้าโดยเริ่มจากกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มแรก ส่วนราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวจากแรงซื้อเก็งกำไรเช่นกัน ประกอบกับนักลงทุนคาดหวังว่าเหตุการณ์รุนแรงในตะวันออกกลางระหว่างซาอุฯและกลุ่มกบฏฮูตีอาจจะกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 63.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท.ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ของไทยในปีนี้เป็นขยายตัว 4.1% จากเดิม 3.9% มาสัปดาห์นี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ก็ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ในปีนี้เช่นกัน โดยปรับเพิ่มเป็นขยายตัว 4-4.5% จากเดิม 3.8-4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนเดียวกันกับแบงก์ชาติ คือ ปรับเพิ่มคาดการณ์การส่งออก และ การท่องเที่ยว ขณะที่ภาระหนี้สาธารณะของรัฐบาล ยังอยู่ในระดับต่ำ โดย ณ สิ้นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ไทยมีภาระหนี้สาธารณะคงค้างอยู่ที่ระดับ 6.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.3% ของ GDP ยังต่ำกว่ากรอบเพดานกระทรวงการคลังที่ 60%
  • (-) Fund Flow ต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 : วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาค US$371 ล้าน ต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 โดยขายมากที่สุดในตลาดหุ้นไต้หวัน US$301 ล้าน ตามด้วยกลุ่มประเทศในกลุ่ม TIP ซึ่งขายมากสุดในตลาดหุ้นอินโดฯ US$28 ล้าน ตามด้วย ไทย และ ฟิลิปปินส์ US$15.3 ล้าน และ US$5 ล้าน ตามลำดับ