Money Wizard - January 22, 2018
(22/01/2018 - 08:50)

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นปิดที่ 1,821 จุด (+2.02 จุด) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 78,059 ล้านบาท โดยดัชนีมีแรงขายกลุ่มธนาคารใหญ่หลังงบ Q4/17 หดตัว รวมถึงความกังวลคดีโรงไฟฟ้าหงสากดดันต่อ BANPU  แต่ได้แรงหนุนจากกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันที่ทรงตัวระดับสูงส่งผลให้รีบาวด์ขึ้นปิดบวก ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,974 ล้านบาท, Net Short TFEX 331 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,760 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ :  ดัชนีหุ้นไทยมีแรงกดดันจากปัญหา Shut down หลังวุฒิสภาสหรัฐไม่ผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ,งบ 2017 กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่หดตัวลงมากกว่าคาด รวมถึงกระแสข่าวเลื่อนการเลือกตั้งของไทยหลังกรรมาธิการฯเสนอเลื่อนบังคับใช้กฎหมายลูกอีก 90 วันซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุน อย่างไรก็ตามคาดว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมัน ถ่านหิน) ที่ทรงตัวระดับสูง รวมถึง Fund Flow ต่างชาติที่พลิกเป็น Net Buy 3 วันราว 4.2 พันลบ.จะช่วยพยุงดัชนีตอนอ่อนตัวได้ ดังนั้นประเมินว่า SET ระยะกลางจะพักตัวในกรอบ 1,800 - 1,840 จุด สำหรับการเข้าซื้อระยะสั้นให้รอซื้อเล่นรีบาวด์บริเวณแนวรับ 1,815 จุด

กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ : Selective Buy

  • กลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC GULF EA) แนวโน้มกำไรเติบโตระยะยาว
  • กลุ่มเครื่องดื่ม (HTC ICHI CBG) ได้ประโยชน์การลอยตัวน้ำตาลซึ่งทำให้ต้นทุนน้ำตาลลดลง
  • TVO คาดราคาถั่วเหลืองเป็นขาขึ้นในปี 2018 จาก Supply ที่ลดลงแต่ Demand จีนยังแข็งแกร่ง
  • BANPU LANNA ราคาถ่านหินขึ้นทำ High รอบ 13 เดือนล่าสุด 106.1 US/Ton
  • กลุ่มพลังงานและปิโตรฯ (PTTEP IRPC PTTGC IVL ) ราคาน้ำมันทรงตัวสูงและคาดกำไรเติบโต
  • กลุ่มค้าปลีก (CPALL HMPRO CPN ) SSSG Q4/17 เติบโตขึ้นได้ดีตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโต
  • กลุ่มที่คาดว่ากำไรเติบโตโดดเด่นในปี 2018  AOT BBL TMB IVL  UVAN GCAP ORI  IHL BCH EA

หุ้นแนะนำวันนี้ : TVO (ปิด 32.5 บาท ซื้อ/ เป้า 34 บาท ) รับผลบวกราคาถั่วเหลืองกลับมาปรับขึ้นทำ New high ในรอบ 1 เดือน ขณะที่ภาพรวมปีนี้ยังเป็นขาขึ้นจาก 1) ซัพพลายถัวเหลืองจากอาร์เจนติซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตหลักปรับตัวลดลงหลังมีการคาดการณ์ว่าสภาพอากาศแล้งที่เกิดขึ้นในอาร์เจนติน่าจะกินเวลายาวนานกว่าปกติ  และ 2)ความต้องการจากจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อหลักยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตดีปี 2018 : ธนาคาร, พลังงาน, อาหารและเครื่องดื่ม และ อสังหาริมทรัพย์

Top picks ปีนี้ : AMATA, BBL, BCH, CENTEL, COL, CPALL, IVL, MINT, ORI and TMB

KSS report วันนี้ : KBANK(ปิด 227 ถือ/เป้า 230), TPCH(ปิด 15 ซื้อ/เป้า 20)

ประเด็นสำคัญวันนี้ :      

(-) US shutdown ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง สถิติบ่งชี้หุ้นสหรัฐมักปรับตัวลงในสัปดาห์แรกก่อนจะฟื้นตัวขึ้นในสัปดาห์ถัดไป  : หลังจากที่วุฒิสภาสหรัฐไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับกฏหมายงบประมาณ และ การขยายเพดานหนี้ได้ทันเส้นตายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลขาดงบประมาณที่ต้องจ่ายให้กับหน่วยงานราชการส่งผลให้หน่วยงานราชการที่ไม่มีผลต่อความมั่นคงของประเทศต้องปิดทำการเป็นการชั่วคราว (Us shutdown) ซึ่งครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และนับเป็นครั้งที่ 19 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ ผลกระทบเบื้องต้น สหพันธ์ลูกจ้างสหรัฐคาดว่าจะมีพนักงานได้รับผลกระทบประมาณ 8.5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากครั้งหลังสุดในเดือน ต.ค. ปี 2013 ที่ 8 แสนคน ส่วนผลกระทบในทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการปิดหน่วยงานหากยืดเยื้อยาวนานจะเป็นลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก ด้านตลาดหุ้นหากอิงจากการปิดหน่วยงานในช่วง 3 ครั้งหลังสุดพบว่าดัชนีดาวโจนส์มักจะปรับตัวลงแค่ในช่วงสัปดาห์แรกเนื่องจากกังวลเหตุการณ์ยืดเยื้อ แต่หลังจากนั้นดัชนีจะปรับตัวสูงขึ้นจากความหวังว่าวุฒิสภาจะตกลงกันได้ในที่สุด

(-) เลือกตั้งของไทยอาจล่าช้า กระทบ Sentiment ในช่วงสั้น : แม้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.(กฏหมายลูก)ของคณะกรรมาธิการวิสามัญ จะเสร็จสิ้นลงไปแล้ว แต่เนื่องจากที่ประชุมเสียงข้างมากมีมติให้แก้ไขมาตรา 2 ซึ่งเดิมกำหนดให้ร่างกฏหมายลูกมีผลบังคับใช้ทันทีหลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เป็นให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วันหลักมีการประกาศฯ โดยประเด็นนี้จะนำเรื่องให้ สนช.พิจารณาในวันที่ 25 ม.ค. หาก สนช.เห็นชอบ อาจจะทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไปตามระยะเวลาของกฏหมายลูกที่มีผลบังคับใช้ หรือ เลื่อนออกไปอย่างน้อย 90 วัน จากเดือน พ.ย.61 ไปเป็นเลือกตั้งในช่วงต้นปี 62 แทน

(+) Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แต่ไหลเข้าเพียง 2 แห่งคือ ไต้หวันและไทย : เมื่อวันศุกร์นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาค US$ 108 ล้าน ต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แต่แรงซื้อกระจุกตัวในไต้หวัน และ ไทย โดยมียอดซื้อสุทธิ US$ 316 ล้าน และ US$ 62 ล้าน ตามลำดับ ส่วนเกาหลีใต้ และ อินโดฯ ต่างชาติขายสุทธิ US$ 204 ล้าน และ US$ 68 ล้าน ตามลำดับ