December 2, 2019
(02/12/2019 - 08:40)

ตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์

SET Index ร่วง 7 จุด (-0.44%) ปิดที่ระดับ 1,591 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลกับปัญหาสงครามระหว่างจีนกับสหรัฐที่เริ่มไม่แน่นอนหลัง โดนัล ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้กฏหมายหนุนกลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกง หุ้นในกลุ่ม Big cap ถูกเทขายนำโดย สื่อสาร, พลังงาน และ ธนาคาร นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ3,126 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4, Net Short TFEX ต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 อีก 50,247 สัญญา แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,409 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลาง-ลบ คาด SET Index มีโอกาสอ่อนตัวลงไปทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,580 จุด อีกครั้ง จากปัจจัยลบของ Trade war ระหว่างจีนกับสหรัฐที่ยังยืดเยื้อ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงกว่า 2.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันศุกร์จะกดดันหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมันอีกในวันนี้ อย่างไรก็ตามวันนี้ต้องติดตามรายงานตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตจีน(จัดทำโดย Caixin) ว่าจะออกมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมาได้หรือไม่ (เดือนก่อน 51.7 VS Consensus 51.4) หากตัวเลขออกมาสูงกว่าระดับ 52 จะช่วยคลายกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและจะกลายเป็น Sentiment บวกเข้ามาช่วยพยุงดัชนีในวันนี้ จึงมีโอกาสที่ดัชนีจะสลับเด้งรีบาวด์ได้ที่บริเวณแนวรับ1,580 จุด

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม Domestic Play AOT, ADVANC, INTUCH, BTS, BEM
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 4Q19 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ GPSC, CPF, ERW, TASCO, EPG, SAWAD, MTC, JMT, BCH, CHG, BDMS
  • กลุ่ม Dividend Stock  KKP TISCO TTW

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BGC (ปิด 13.3 ซื้อเก็งกำไร / เป้า IAA Consensus 15 บาท) ราคาหุ้นลดลงแรงสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอใน 3Q19 ไปแล้ว ขณะที่แนวโน้มใน 4Q19 รวมถึงต้นปีหน้าจะได้ประโยชน์และ Sentiment บวกจากต้นทุนราคาก๊าซที่ลดลง หลังจากปัจจุบันราคาน้ำมันเตาที่มีซัลเฟอร์สูง (HSFO) ราคาร่วงแรงเนื่องจากกองเรือเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเตาที่มีกำมะถันและซัลเฟอร์ต่ำก่อนที่มาตรการใหม่ของ IMO จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป (สูตรคำนวณราคาก๊าซซึ่งเป็นวัตถุดิบขวดแก้ว Link กับราคาน้ำมันเตา HSFO)
  • CPF (ปิด 27.50 ซื้อ/เป้า 33.5) ทยอยสะสมมองราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์หมูแอฟริกาไปแล้ว ขณะที่ปัจจุบันราคาหมูในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากระดับ 55 บาทต่อ ก.ก. เป็น 64 บาทต่อก.ก. เช่นเดียวกับราคาหมูเวียดนามที่ฟื้นตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับ 33,000 ดองต่อ ก.ก. ขึ้นเป็น 60,000 ดองต่อก.ก. ในปัจจุบันคาดว่าจะช่วยหนุนผลประกอบการ 3Q19 และ 4Q19 ฟื้นตัว

บทวิเคราะห์วันนี้

RS (ปิด 13.4 ถือ/เป้าใหม่ 14.5 จาก 16.5), Media sector (Top pick: PLANB และ VGI), Thailand Strategy (ยังอยู่บนเส้นทางแห่งความหวัง)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) เดือน ธ.ค.คาด SET ผันผวนในกรอบ 1,550 -1,640 จุด กลยุทธ์ Selective buy เน้นกลุ่ม ท่องเที่ยว โรงพยาบาล และสินค้าเกษตร รวมถึงเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50/100 รอบใหม่ Top pick – BBL, BCH, CPF, ERW และ MINT: SET Index เดือน ธ.ค.ลดลง 0.7% แต่พอร์ตลงทุนของเราชนะตลาดให้ผลตอบแทน +7.4% โดยมีหุ้น ERW ให้ผลตอบแทนสูงสุด +16.4% ส่วนแนวโน้มเดือน ธ.ค. คาด SET Index จะผันผวนในกรอบ 1,550 -1,640 จุด โดย Set มีโอกาสลดลงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือน เพราะยังถูกกดดันจากความไม่แน่นอนจาก Trade war อย่างไรก็ตามเรามอง Down side ที่ดัชนีจะปรับลงค่อนข้างจำกัดเพราะเชื่อว่าแรงซื้อจาก LTF จะช่วยหนุนและประคองดัชนีเอาไว้ กลยุทธ์การลงทุนเดือน ธ.ค.ยังเป็น Selective buy เน้นกลุ่มธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วง High season คือ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว อาทิ โรงพยาบาล และ กลุ่มสินค้าเกษตร Top pick เดือน ธ.ค. BBL, BCH, CPF, ERW, และ MINT
  • (-) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงแรง 2.94 เหรียญฯ จากข่าวสหรัฐผลิตน้ำมันดิบเพิ่มจนกลายเป็นผู้ส่งออกสุทธิ : เมื่อวันศุกร์ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงแรงกว่า 2.94 ดอลลาร์ (-5.1%) ปิดที่ระดับ 55 .17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 1) เจรจาจีนกับสหรัฐยืดเยื้อหลังจาก ทรัมป์ ลงนามกฎหมายหนุนกลุ่มผู้ประท้วงในฮ่องกง และ 2) กังวลอุปทานล้นตลาดหลัง EIA รายงานว่าสหรัฐผลิตน้ำมันดิบจาก Shale oil เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้เดือน ก.ย.ที่ผ่านมาสหรัฐทำการส่งออกน้ำมันมากกว่านำเข้า 89,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบสุทธิได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 70 ปี
  • (+/-) ปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้ คือ ดัชนี PMI ภาคการผลิตจีน, ประชุม NATO และ ประชุม OPEC :  วันนี้ติดตามรายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตจีน (Caixin) ตลาดคาดจะอยู่ที่ระดับ 51.4 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า หากออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดจะเป็นบวกช่วยหนุน Sentiment ให้กับตลาดในวันนี้ และวันที่ 3-4 ธ.ค.ติดตามการประชุมสุดยอดผู้นำของกลุ่ม NATO และ วันที่ 5-6 ธ.ค.ติดตามการประชุมของกลุ่ม OPEC + Non OPEC คาดขยายเวลาลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงกลางปีหรือสิ้นปีหน้าจากเดิมจะสิ้นสุดมาตรการในเดือน มี.ค.ปีหน้า